Thinkpad T480 ราคา
พยายามหาตำราภาษาเขียนโปรแกรมที่คุณสนใจ อย่างใน Amazon หรือเว็บอื่นๆ ก็จะมีบอกอันดับหนังสือที่คนนิยมในด้านนั้นๆ และมีรีวิวว่าใช้ได้จริงแค่ไหน 2 หาโปรแกรม interpreter ของภาษานั้น. interpreter เป็นโปรแกรมคอมใช้แปลงไอเดียที่คุณเขียนด้วยภาษาโปรแกรมออกมาเป็น "machine code" หรือโค้ดสำหรับคอม คุณจะได้เห็นว่าภาษาที่คุณพิมพ์ไปนั้น สุดท้ายใช้ได้ผลไหม มีหลายโปรแกรมให้เลือก ขอแค่เลือกมาสักโปรแกรมที่เข้าทางคุณที่สุด 3 อ่านตำราเยอะๆ!. ศึกษาตัวอย่างภาษาที่ตำราเขาใช้ แล้วเอาไปทดลองใน interpreter ลองปรับเปลี่ยนตัวอย่างดู ให้โปรแกรมทำอะไรต่างออกไป 4 ระดมสมองสร้างโปรแกรม. เริ่มจากโปรแกรมง่ายๆ ก่อน เช่น โปรแกรมแปลงสกุลเงิน แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นโปรแกรมที่สลับซับซ้อนกว่าหลังจากศึกษาไปพักหนึ่งแล้ว 5 เรียนรู้ภาษาอื่นเพิ่มเติม. พอเขียนโปรแกรมด้วยภาษาแรกเป็นแล้ว ให้ขยับขยายไปเรียนภาษาอื่นต่อไป ถ้าเลือกภาษาที่มีลักษณะโครงสร้างแตกต่างจากภาษาเดิมโดยสิ้นเชิงก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก เช่น ถ้าตอนแรกเรียน Scheme ก็ให้เปลี่ยนไปเรียนภาษา C หรือ Java แทน แต่ถ้าตอนแรกเรียน Java ก็อาจเปลี่ยนไปเรียน Perl หรือ Python แทน 6 อย่าหยุดเขียนโปรแกรมและทดลองอะไรใหม่ๆ!.
การพัฒนาโปรแกรมตามขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมที่เป็นมาตรฐานจะทำให้ได้โปรแกรมที่ดี ซึ่งคุณสมบัติของโปรแกรมที่ดี มีดังนี้ 1. ได้ผลลัพธ์ถูกต้อง ตรงตามความต้องการ 2. สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ 3. มีรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย 4. มีการออกแบบเพื่อรองรับการปรับปรุงแก้ไขในอนาคตได้ ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม การเขียนโปรแกรมที่ดีนั้นจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม 6 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา การออกแบบโปรแกรม การเขียนโปรแกรม การทดสอบโปรแกรม และการจัดทำเอกสารประกอบ ควรทำตามแต่ละขั้นตอนให้เรียงตามลำดับ ไม่ข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง หรือทำไม่ครบขั้นตอน โดยมีรายละเอียดแต่ละขั้นตอน ดังนี้ 1. การวิเคราะห์ปัญหา เป็นขั้นตอนแรกของการพัฒนาโปรแกรม เป็นการศึกษารายละเอียดพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาโปรแกรม ได้แก่ สิ่งที่ต้องการ รูปแบบของผลลัพธ์ ข้อมูลนำเข้า ตัวแปรที่ใช้ และวิธีการประมวลผล ดังนี้ 1. 1 สิ่งที่ต้องการ (Requirement) คือ การกำหนดวัตถุประสงค์ของงานที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เช่น รวมคะแนนสอบคัดเลือก จัดลำดับที่สอบได้ พิมพ์รายชื่อผู้สอบได้ คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของพนักงาน การคำนวณค่าคอมมิชชั่น งานที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้นอาจจะมีหลายอย่าง จึงต้องเขียนรายละเอียดเป็นข้อๆ ไว้ เพราะในการเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้น จะต้องทราบแน่ชัดว่าทำงานอะไรบ้าง มิฉะนั้นโปรแกรมที่เขียนอาจทำงานไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนด 1.
กำหนดข้อมูลนำเข้า ซึ่งประกอบหัวข้อพิจารณาดังนี้ • กำหนดลักษณะการรับข้อมูล เช่น รับข้อมูลจากแป้นพิมพ์ หรือ อ่านข้อมูลจากไฟล์ • รูปแบบข้อมูลที่รับเข้ามาเป็นอย่างไร เช่น ข้อมูลชื่อนิสิตเก็บเป็นตัวอักษรหรือสตริง ข้อมูลเงินเดือนพนักงานเก็บเป็นจำนวนทศนิยม เป็นต้น • ขอบเขตของข้อมูลมีช่วงค่าของข้อมูลได้เท่าไหร่ เช่น รับข้อมูลเงินเดือนมีค่าอยู่ระหว่าง 0. 00 ถึง 100, 000. 00 บาท เก็บข้อมูลเป็นจำนวนทศนิยม เป็นต้น • ข้อจำกัดในการรับข้อมูลอย่างไรบ้าง เช่น รับข้อมูลได้เฉพาะค่าตัวเลขที่มากกว่า 0 เป็นต้น 3. วิธีการประมวลผล เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการแก้ปัญหา ประกอบด้วยข้อกำหนดดังนี้ • กำหนดวิธีการ หรือเทคนิคที่ใช้แก้ปัญหา ปัญหาต่างๆ จะมีวิธีการปัญหาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพของปัญหา และผู้แก้ปัญหา และปัญหาหนึ่งๆสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยหลายๆ วิธีการ ดังนั้นให้เลือกวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับปัญหานั้นๆ • กำหนดขั้นตอนทำงานให้ชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาตามลำดับการทำงานของวิธีการที่ได้เลือกใช้ และประมวลผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ 4. กำหนดผลลัพธ์ • กำหนดรูปแบบการแสดงผล เช่น แสดงผลลัพธ์เป็นภาพกราฟฟิกส์ทางจอภาพ หรือพิมพ์ข้อมูลออกทางเครื่องพิมพ์ เป็นต้น • ตรวจสอบข้อผิดพลาดและความถูกต้องของผลลัพธ์ เช่น ตรวจสอบข้อผิดพลาดจากการคำนวณ ตรวจสอบผลลัพธ์ว่าถูกต้องตรงตามที่ต้องการหรือไม่ 5.
สมัยนี้นอกจากสนุกและท้าทายแล้ว การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังมีประโยชน์แบบสุดๆ เป็นโอกาสให้คุณได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ แถมอาจยึดเป็นอาชีพได้ด้วย ถ้าอยากหัดเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็เริ่มจากอ่านบทความของเราข้างล่างนี่เลย ว่าจะเริ่มตรงไหนยังไงดี 1 เลือกภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรม. การเขียนโปรแกรมหลักๆ ก็คือการพิมพ์ชุดคำสั่งไว้ให้คอมปฏิบัติตาม (เขาเรียก binary coding) คุณเขียนคำสั่งพวกนี้ได้ด้วยหลาย "ภาษา" คือจัดการกับคำสั่งและข้อความต่างวิธีกันไป แต่ละภาษาก็เหมาะสำหรับเขียนโปรแกรมต่างกัน เพราะงั้นให้เลือกภาษาที่เหมาะกับโปรแกรมที่คุณอยากสร้าง ถ้าลองภาษาหนึ่งแล้วไม่เข้าเค้า ก็ให้เปลี่ยนไปเขียนโปรแกรมด้วยภาษาอื่นแทน 2 ลองเขียนโปรแกรมด้วยภาษา C, C++, C# และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง. ภาษาพวกนี้เหมาะสำหรับเขียนโปรแกรมคอมเดี่ยวๆ (แบบ standalone) เช่น เกมต่างๆ แต่ภาษา C กับ C++ นั้นค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่ (แต่ไม่ยากเกินเรียนนะ) เรียนรู้ภาษานี้แล้วไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งแค่การเขียนโปรแกรม (ภาษาเขียนโปรแกรมส่วนใหญ่หยิบยืมแนวคิดและอื่นๆ ไปจากภาษา C กับ C++) แต่ยังลงลึกถึงการทำงานของคอมด้วย นับเป็นภาษาที่คนนิยมใช้กันมาก โดยเฉพาะภาษา C# ที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ Java 3 ลองใช้ Java หรือ JavaScript.